📙
Learning Bitcoin Core
bitcoincore reviewsEdit
  • 📙 [TH] การมีส่วนร่วมใน Bitcoin Core ( Github )
    • [EN] Contributing to Bitcoin Core ( Github )
  • คำนำอย่างละเอียดถึงการพัฒนา Bitcoin Core ( Jimmy Song )
  • การมีส่วนร่วมใน Bitcoin Core ประสบการณ์ส่วนตัว ( John Newbery )
  • การเข้าร่วมพัฒนา Bitcoin Core ( Amiti Uttarwar )
  • How to Review Pull Requests in Bitcoin Core ( Jon Atack )
  • ความเข้าใจด้านเทคนิคของ Bitcoin ( Pierre Rochard )
  • ภาษาพื้นฐานใน Bitcoin Core 👾💬🤖
  • RPC หรือ Remote Procedure Call 🏦🌐⚙️
  • PSBT / Mining & Nonce / SHA-256 📦🎲#️⃣
  • Candidate Block / Chain Tip / Merkle Root / GBT & Stratum Protocol / SPV Client 🎰⛓️🤿🫚📱
  • OP_ ต่างๆ / Bitcoin Script / Hash Preimage / BOLT / Taproot / Eltoo / STARK / ZKP 📜⚡️🐺🌳
  • ลักษณะของ VAULT เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ 🏦🔏🗝️⏳
  • การแก้แค้นของ Junior Developer❤️‍🔥🐦‍⬛💻
Powered by GitBook
On this page
  • ลักษณะของ VAULT เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์
  • ความแตกต่างจาก Lightning และ Taproot
  • สรุป
  • VAULT กับ timelock script
  • ตัวอย่างลำดับการทำงานของ VAULT
  • การทำงานร่วมกันระหว่าง VAULT และ Taproot Assets
  • ตัวอย่างการทำงานร่วมกันในทางปฏิบัติ
  • ความท้าทายในการทำงานร่วมกัน
  • สรุป
  • 1. แพลตฟอร์มบริหารสินทรัพย์สำหรับสถาบัน (Institutional Asset Management)
  • 2. ตลาดซื้อขาย NFT ที่มีความปลอดภัยสูง (High-Security NFT Marketplace)
  • 3. แพลตฟอร์มออกโทเค็นแบบเงินทุนสำรอง (Reserve-Backed Token Issuance Platform)
  • 4. ระบบสืบทอดสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Inheritance System)
  • 5. แพลตฟอร์มบริหารคลังสินทรัพย์องค์กร (Corporate Treasury Management)
  • 6. แพลตฟอร์มการให้กู้ยืมที่มีหลักประกันปลอดภัย (Secure Collateralized Lending)
  • 7. กระเป๋าเงินสำหรับครอบครัว (Family Wallet)
  • 8. แพลตฟอร์มการบริจาคที่มีเงื่อนไข (Conditional Donation Platform)
  • 9. แพลตฟอร์มการซื้อขายที่มีการชำระเงินล่าช้า (Delayed Settlement Trading Platform)
  • 10. แพลตฟอร์มการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ (Auto-Diversification Investment Platform)
  • จดหมายข่าว Bitcoin Optech ฉบับที่ 354
  • 16 พฤษภาคม 2025
  • ข่าวสาร
  • การเปลี่ยนแปลงฉันทามติ
  • รุ่นใหม่และรุ่นทดสอบ
  • การเปลี่ยนแปลงโค้ดและเอกสารที่สำคัญ
  • ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม?
  • ประวัติความเป็นมาของ OP_VAULT
  • ที่มาและการพัฒนา
  • กลไกการทำงานของ OP_VAULT

ลักษณะของ VAULT เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ 🏦🔏🗝️⏳

อธิบายโดย : Claude 3.7 Sonnet | ref : https://bitcoinops.org/en/topics/vaults/

👤 : VAULT นี่ถ้าออกมาเป็น product หรือ feature จะมีหน้าตาเป็นยังไง แตกต่างจาก lightning หรือ taproot อย่างไร ?

💬 : VAULT คืออะไร และจะแตกต่างจาก Lightning หรือ Taproot อย่างไร

VAULT เป็นแนวคิดของระบบเก็บ Bitcoin แบบพิเศษที่เน้นความปลอดภัยสูง ถ้าออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หรือฟีเจอร์จริง จะมีลักษณะสำคัญดังนี้:

ลักษณะของ VAULT เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์

  1. ระบบตู้นิรภัยแบบสองขั้นตอน: ผู้ใช้จะเห็นกระเป๋าเงินที่มีฟีเจอร์การถอนแบบล่าช้า โดยการถอน Bitcoin จะเป็นกระบวนการสองขั้นตอน:

    • ขั้นตอนที่ 1: ประกาศความตั้งใจที่จะถอน

    • ขั้นตอนที่ 2: รอช่วงเวลาหน่วงเวลา (delay period) ที่กำหนดไว้ก่อนจะถอนจริง

  2. ฟีเจอร์ยกเลิกฉุกเฉิน: มีปุ่มหรือฟังก์ชัน "ยกเลิกฉุกเฉิน" เพื่อยกเลิกการถอนที่กำลังดำเนินการในช่วงหน่วงเวลา หากพบว่าเป็นการถอนที่ไม่ได้รับอนุญาต

  3. การตั้งค่าความปลอดภัยที่กำหนดเอง: ผู้ใช้สามารถกำหนดระยะเวลาหน่วงเวลา (เช่น 24 ชั่วโมง, 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน) และกุญแจสำหรับการยกเลิกฉุกเฉิน

  4. อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่เข้าใจง่าย: แอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่แสดงสถานะการถอนที่กำลังดำเนินการ เวลาที่เหลือในช่วงหน่วงเวลา และตัวเลือกการยกเลิก

ความแตกต่างจาก Lightning และ Taproot

เทียบกับ Lightning Network:

  1. จุดประสงค์:

    • VAULT: เน้นความปลอดภัยสำหรับการเก็บ Bitcoin ระยะยาว ป้องกันการขโมยแม้กระทั่งเมื่อกุญแจส่วนตัวถูกบุกรุก

    • Lightning: เน้นการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและประหยัดค่าธรรมเนียม โดยการทำธุรกรรมนอกบล็อกเชน

  2. การใช้งาน:

    • VAULT: เหมาะสำหรับการเก็บเงินจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้บ่อย เช่นเดียวกับตู้นิรภัยในธนาคาร

    • Lightning: เหมาะสำหรับการชำระเงินรายวันและธุรกรรมขนาดเล็กที่ต้องการความรวดเร็ว

  3. ความเร็ว:

    • VAULT: มีความล่าช้าโดยเจตนา เพื่อความปลอดภัย

    • Lightning: ออกแบบมาเพื่อความเร็ว ธุรกรรมเกิดขึ้นเกือบจะทันที

เทียบกับ Taproot:

  1. ลักษณะทางเทคนิค:

    • VAULT: เป็นแอพพลิเคชั่นหรือการใช้งานพิเศษที่อาจต้องอาศัยการอัปเกรดโปรโตคอลของ Bitcoin (เช่น OP_CHECKCONTRACTVERIFY)

    • Taproot: เป็นการอัปเกรดโปรโตคอลพื้นฐานที่เพิ่มความสามารถทางด้านความเป็นส่วนตัวและสัญญาอัจฉริยะ

  2. จุดประสงค์:

    • VAULT: มุ่งเน้นเฉพาะด้านความปลอดภัยในการเก็บรักษา

    • Taproot: ปรับปรุงความเป็นส่วนตัว ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นของสคริปต์ใน Bitcoin โดยรวม

  3. การนำไปใช้งาน:

    • VAULT: จะเป็นแอพพลิเคชั่นเฉพาะหรือฟีเจอร์ในกระเป๋าเงิน

    • Taproot: เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับแอพพลิเคชั่นหลากหลาย รวมถึงอาจช่วยให้ VAULT ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

VAULT หากถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จริง จะเป็นเหมือน "ตู้นิรภัย" สำหรับ Bitcoin โดยมีการป้องกันความปลอดภัยหลายชั้น ซึ่งแตกต่างจาก Lightning Network ที่มุ่งเน้นการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว และแตกต่างจาก Taproot ที่เป็นการอัปเกรดโปรโตคอลพื้นฐาน VAULT จะช่วยเติมเต็มระบบนิเวศ Bitcoin โดยมอบทางเลือกสำหรับการเก็บรักษา Bitcoin อย่างปลอดภัยในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ถือครองในปริมาณมากหรือองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง​​​​​​​​​​​​​​​​

👤 : มันคือ timelock script ใช่ไหม ?

💬 : ใช่ครับ คุณเข้าใจถูกต้อง VAULT ในแก่นของมันคือรูปแบบพิเศษของ timelock script แต่มีความซับซ้อนและฟีเจอร์เพิ่มเติมมากกว่า timelock ธรรมดา

VAULT กับ timelock script

พื้นฐานของ VAULT ที่เป็น timelock:

  1. ใช้ timelock เป็นหลัก: VAULT อาศัย timelock (การล็อกเวลา) เป็นกลไกหลักในการทำงาน โดยบังคับให้มีการรอระยะเวลาหนึ่งระหว่างการประกาศถอนและการถอนจริง

  2. แต่ซับซ้อนมากกว่า: ในขณะที่ timelock script แบบพื้นฐานเพียงแค่ล็อก Bitcoin ไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด VAULT มีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่สำคัญ โดยเฉพาะความสามารถในการยกเลิกธุรกรรมที่อยู่ในระหว่างช่วงหน่วงเวลา

สิ่งที่ทำให้ VAULT แตกต่างจาก timelock script ธรรมดา:

  1. กลไกการยกเลิก (Cancellation mechanism): ฟีเจอร์หลักที่ทำให้ VAULT พิเศษคือความสามารถในการยกเลิกการถอนที่อยู่ในระหว่างรอเวลา โดยใช้กุญแจยกเลิกพิเศษ (revocation key) ซึ่ง timelock script ธรรมดาไม่มีฟีเจอร์นี้

  2. โครงสร้างแบบสองขั้นตอน (Two-phase structure):

    • ขั้นที่ 1: ปลดล็อกเงินจาก VAULT หลักไปยัง "staging area" ที่มี timelock

    • ขั้นที่ 2: หลังจากผ่านช่วงเวลารอ สามารถเคลื่อนย้ายเงินจาก staging area ไปยังที่อยู่ปลายทางได้

  3. กุญแจหลายชุด (Multiple keys):

    • กุญแจปกติสำหรับเริ่มการถอน

    • กุญแจยกเลิกแยกต่างหากสำหรับยกเลิกการถอนที่น่าสงสัย

    • บางการออกแบบอาจมีกุญแจฉุกเฉินเพิ่มเติมสำหรับกรณีสูญหาย

  4. การใช้ covenant: การนำ covenant มาใช้ (ซึ่งเป็นข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการใช้ Bitcoin) เป็นสิ่งที่ต้องการสำหรับการสร้าง VAULT ที่สมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่ต้องการ opcodes ใหม่เช่น OP_CHECKCONTRACTVERIFY หรือ OP_VAULT

ตัวอย่างลำดับการทำงานของ VAULT

  1. การฝาก: Alice ฝาก Bitcoin เข้าสู่ VAULT ของเธอ ซึ่งถูกล็อกด้วยกุญแจของเธอ

  2. การเริ่มถอน: เมื่อ Alice ต้องการใช้เงิน เธอลงนามในธุรกรรมที่ย้ายเงินไปยัง "unvaulting address" ที่มี timelock (เช่น 24 ชั่วโมง)

  3. ช่วงรอ: ธุรกรรมถูกส่งไปยังเครือข่าย Bitcoin และ Alice ต้องรอจนกว่า timelock จะหมดอายุ

  4. การป้องกัน: หากมีแฮกเกอร์พยายามถอนเงินของ Alice โดยไม่ได้รับอนุญาต Alice มีเวลา 24 ชั่วโมงในการตรวจจับและส่งธุรกรรมยกเลิกโดยใช้กุญแจยกเลิกของเธอ ซึ่งจะส่งเงินไปยังที่อยู่ฉุกเฉินที่ปลอดภัย

  5. การถอนสมบูรณ์: หลังจากผ่านช่วงเวลารอ หากไม่มีการยกเลิก Alice สามารถลงนามในธุรกรรมสุดท้ายเพื่อย้ายเงินไปยังที่อยู่ปลายทางที่ต้องการ

VAULT จึงเป็นการพัฒนาต่อยอดจาก timelock script แบบพื้นฐานอย่างมาก โดยเพิ่มชั้นความปลอดภัยและความยืดหยุ่นที่สำคัญเพื่อป้องกันการขโมยเงินแม้ในกรณีที่กุญแจส่วนตัวถูกขโมย​​​​​​​​​​​​​​​​

👤 : ขอบคุณครับ...แล้วมันจะ co กับ taproot asset อย่างไร ?

💬 : VAULT กับ Taproot Assets: ความเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกัน

ขอบคุณสำหรับคำถามที่น่าสนใจครับ VAULT และ Taproot Assets (เดิมรู้จักในชื่อ Taro) สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเสริมความสามารถของกันและกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

การทำงานร่วมกันระหว่าง VAULT และ Taproot Assets

1. การเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลที่หลากหลาย

  • การใช้ VAULT เก็บ Taproot Assets: ผู้ใช้สามารถใช้กลไก VAULT เพื่อเก็บไม่เพียงแค่ Bitcoin แต่รวมถึง Taproot Assets เช่น โทเค็น และ NFT ได้อย่างปลอดภัย

  • ความปลอดภัยแบบหลายชั้น: สินทรัพย์ที่สร้างบน Taproot Assets จะได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยแบบสองขั้นตอนและความสามารถในการยกเลิกของ VAULT

2. การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน

  • ทั้งคู่ใช้ Taproot: ทั้ง VAULT (ในการออกแบบล่าสุด) และ Taproot Assets ต่างอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของ Taproot ซึ่งทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  • ประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัว: การรวมกันนี้จะได้รับประโยชน์จากความเป็นส่วนตัวและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ Taproot

3. กรณีการใช้งานที่เป็นไปได้

  • ตู้นิรภัยสำหรับ NFT มูลค่าสูง: คอลเลกชัน NFT ที่สร้างบน Taproot Assets สามารถเก็บไว้ในระบบ VAULT เพื่อป้องกันการขโมยหรือการโอนโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • การออกโทเค็นแบบปลอดภัย: องค์กรที่ออกโทเค็นผ่าน Taproot Assets สามารถเก็บโทเค็นที่ยังไม่ได้กระจายไว้ใน VAULT เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

  • โซลูชั่นสำหรับสถาบัน: สถาบันการเงินสามารถใช้ VAULT ร่วมกับ Taproot Assets เพื่อสร้างโซลูชั่นการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่หลากหลายสำหรับลูกค้า

4. การปรับปรุงทางเทคนิคที่เสริมกัน

  • OP_CCV สนับสนุนทั้งคู่: opcode ใหม่ที่เสนอ เช่น OP_CHECKCONTRACTVERIFY (OP_CCV) จะช่วยปรับปรุงทั้งการทำงานของ VAULT และความสามารถของ Taproot Assets

  • Merkle Trees: ทั้ง VAULT และ Taproot Assets ใช้ Merkle trees ในการออกแบบของพวกมัน ทำให้มีโอกาสในการปรับปรุงการทำงานร่วมกัน

ตัวอย่างการทำงานร่วมกันในทางปฏิบัติ

สถานการณ์ที่ 1: บริษัทที่ออกโทเค็น

  1. บริษัทสร้างโทเค็นดิจิทัลผ่าน Taproot Assets

  2. เก็บส่วนหนึ่งของโทเค็นในระบบ VAULT ที่มีช่วงเวลารอ 7 วัน

  3. หากมีการพยายามถอนโทเค็นโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสามารถยกเลิกการถอนได้

สถานการณ์ที่ 2: นักสะสม NFT

  1. นักสะสมซื้อ NFT มูลค่าสูงที่สร้างบน Taproot Assets

  2. เก็บ NFT ในระบบ VAULT พร้อมกับกำหนดค่า 2-of-3 multisig สำหรับการยกเลิก

  3. การขายหรือโอน NFT จะเริ่มกระบวนการถอนที่ต้องรอ 24 ชั่วโมง เพิ่มความปลอดภัยหากมีการขโมยกุญแจ

ความท้าทายในการทำงานร่วมกัน

  1. ความซับซ้อนทางเทคนิค: การรวมทั้งสองเทคโนโลยีอาจเพิ่มความซับซ้อนในการออกแบบและการใช้งาน

  2. ข้อจำกัดด้านขนาดสคริปต์: การรวม VAULT และ Taproot Assets อาจทำให้สคริปต์มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

  3. การรอการนำไปใช้: ทั้ง VAULT (ในรูปแบบที่สมบูรณ์) และ Taproot Assets ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและรอการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ดังนั้นการทำงานร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบอาจต้องรอในอนาคต

สรุป

VAULT และ Taproot Assets สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดย VAULT จะเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเก็บรักษา Taproot Assets ในขณะที่ Taproot Assets ช่วยขยายขอบเขตของสินทรัพย์ที่สามารถปกป้องได้ด้วย VAULT การผสมผสานนี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศ Bitcoin ที่ปลอดภัยและหลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งรองรับทั้งสินทรัพย์ดิจิทัลแบบดั้งเดิมและประเภทใหม่ๆ

เมื่อทั้งสองเทคโนโลยีถูกนำไปใช้อย่างสมบูรณ์ เราน่าจะได้เห็นแอปพลิเคชันและบริการที่น่าสนใจมากมายที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถร่วมกันของพวกมัน​​​​​​​​​​​​​​​​

👤 : เช่นแอปพลิเคชันอะไรบ้าง ?

💬 : แอปพลิเคชันที่อาจเกิดขึ้นจากการผสมผสาน VAULT และ Taproot Assets

เมื่อ VAULT และ Taproot Assets ถูกนำมาใช้ร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบ เราน่าจะได้เห็นแอปพลิเคชันที่น่าสนใจมากมาย ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม:

1. แพลตฟอร์มบริหารสินทรัพย์สำหรับสถาบัน (Institutional Asset Management)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "CryptoVault Pro"

  • ฟีเจอร์: ระบบบริหารจัดการกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับกองทุนและสถาบันการเงิน

  • การทำงาน:

    • กำหนดนโยบายการถอนที่หลากหลาย (เช่น ต้องมีการอนุมัติหลายคน และมีช่วงเวลารอที่แตกต่างกันตามจำนวนเงิน)

    • บริหารพอร์ตโฟลิโอที่มีทั้ง Bitcoin และโทเค็นอื่นๆ บน Taproot Assets

    • รายงานแบบเรียลไทม์และการตรวจสอบการเคลื่อนไหวทั้งหมด

    • การตั้งค่าแบบหลายระดับและการกระจายกุญแจยกเลิกให้กับผู้บริหารหลายคน

2. ตลาดซื้อขาย NFT ที่มีความปลอดภัยสูง (High-Security NFT Marketplace)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "SecureNFT"

  • ฟีเจอร์: ตลาดสำหรับ NFT มูลค่าสูงที่สร้างบน Taproot Assets ที่เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

  • การทำงาน:

    • ผู้ขายสามารถเก็บ NFT ใน VAULT จนกว่าจะมีผู้ซื้อ

    • ระบบ escrow แบบปลอดภัยที่ใช้ VAULT เพื่อป้องกันการฉ้อโกง

    • การตรวจสอบยืนยันการซื้อขายที่ล่าช้าเพื่ออนุญาตให้ยกเลิกได้หากพบความผิดปกติ

    • การประกันและการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของผ่านประวัติการเก็บรักษาใน VAULT

3. แพลตฟอร์มออกโทเค็นแบบเงินทุนสำรอง (Reserve-Backed Token Issuance Platform)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "StableTrust"

  • ฟีเจอร์: แพลตฟอร์มสำหรับบริษัทที่ต้องการออกโทเค็นที่มีการสำรองด้วยสินทรัพย์จริง

  • การทำงาน:

    • เงินทุนสำรองถูกเก็บใน VAULT ที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้

    • การออกโทเค็นอัตโนมัติผ่าน Taproot Assets เมื่อมีการฝากเงินทุนสำรอง

    • การเผาโทเค็นและการถอนเงินทุนสำรองที่มีระยะเวลาตรวจสอบ

    • การตรวจสอบโดยบุคคลที่สามแบบเรียลไทม์เพื่อยืนยันสัดส่วนเงินสำรอง

4. ระบบสืบทอดสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Inheritance System)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "CryptoLegacy"

  • ฟีเจอร์: ระบบที่ช่วยวางแผนการส่งต่อสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทายาท

  • การทำงาน:

    • สินทรัพย์ (ทั้ง Bitcoin และโทเค็นบน Taproot Assets) ถูกเก็บใน VAULT พิเศษ

    • กลไกการถ่ายโอนอัตโนมัติที่ทำงานหากไม่มีการเข้าถึงหรือยกเลิกในระยะเวลาที่กำหนด

    • ทางเลือกในการกระจายสินทรัพย์ให้ผู้รับหลายคนตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

    • การบันทึกข้อความและคำแนะนำที่เข้ารหัสสำหรับผู้รับ

5. แพลตฟอร์มบริหารคลังสินทรัพย์องค์กร (Corporate Treasury Management)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "TreasuryShield"

  • ฟีเจอร์: ระบบบริหารเงินสำรองขององค์กรที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

  • การทำงาน:

    • การตั้งค่าขีดจำกัดการถอนรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน

    • โครงสร้างการอนุมัติหลายชั้นสำหรับจำนวนเงินที่เกินขีดจำกัด

    • การรวมบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัลในแพลตฟอร์มเดียว

    • การจัดสรรพอร์ตโฟลิโอระหว่าง Bitcoin และโทเค็นที่ออกบน Taproot Assets

6. แพลตฟอร์มการให้กู้ยืมที่มีหลักประกันปลอดภัย (Secure Collateralized Lending)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "CryptoSecureLoan"

  • ฟีเจอร์: แพลตฟอร์มการให้กู้ยืมที่ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักประกัน

  • การทำงาน:

    • หลักประกัน (Bitcoin หรือโทเค็นมูลค่าสูง) ถูกเก็บใน VAULT

    • สัญญาอัตโนมัติที่ปล่อยหลักประกันเมื่อชำระคืนเงินกู้ครบถ้วน

    • กลไกบังคับหลักประกันที่โปร่งใสและมีช่วงเวลาแจ้งเตือนในกรณีผิดนัดชำระ

    • การให้กู้ในรูปแบบโทเค็น stablecoin ที่สร้างบน Taproot Assets

7. กระเป๋าเงินสำหรับครอบครัว (Family Wallet)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "FamilyVault"

  • ฟีเจอร์: กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ออกแบบสำหรับการใช้งานในครอบครัว

  • การทำงาน:

    • บัญชีย่อยสำหรับสมาชิกแต่ละคน แต่จัดการร่วมกันในแอปเดียว

    • การตั้งค่าการใช้จ่ายและขีดจำกัดสำหรับสมาชิกเยาวชน

    • VAULT สำหรับเงินออมระยะยาวของครอบครัว ที่ต้องมีการอนุมัติจากหลายคน

    • การสร้างโทเค็นครอบครัว (เช่น "โทเค็นรางวัล" สำหรับเด็กๆ) บน Taproot Assets

8. แพลตฟอร์มการบริจาคที่มีเงื่อนไข (Conditional Donation Platform)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "CryptoDonor"

  • ฟีเจอร์: แพลตฟอร์มสำหรับการบริจาคที่มีเงื่อนไขและโปร่งใส

  • การทำงาน:

    • เงินบริจาคถูกเก็บใน VAULT ที่มีเงื่อนไขเฉพาะ

    • การเบิกจ่ายเงินทุนอัตโนมัติเมื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนด

    • การออกโทเค็นการบริจาคที่ติดตามได้ผ่าน Taproot Assets

    • การรายงานการใช้เงินทุนแบบโปร่งใสผ่านบล็อกเชน

9. แพลตฟอร์มการซื้อขายที่มีการชำระเงินล่าช้า (Delayed Settlement Trading Platform)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "SecureTrade"

  • ฟีเจอร์: แพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าสูงที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น

  • การทำงาน:

    • ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายวางเงินใน VAULT ร่วม

    • การชำระเงินที่มีการล่าช้าเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถยกเลิกได้หากพบความผิดปกติ

    • การรับรองโดยบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ในกรณีมีข้อพิพาท

    • การซื้อขายโทเค็นและสินทรัพย์หลายประเภทในแพลตฟอร์มเดียว

10. แพลตฟอร์มการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ (Auto-Diversification Investment Platform)

ชื่อแอปตัวอย่าง: "DiversiVault"

  • ฟีเจอร์: แพลตฟอร์มการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติระหว่าง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ

  • การทำงาน:

    • การจัดสรรสินทรัพย์อัตโนมัติตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

    • การเก็บสินทรัพย์ใน VAULT ที่มีระดับความปลอดภัยต่างกันตามประเภทสินทรัพย์

    • การสร้างโทเค็นที่แทนพอร์ตโฟลิโอรวมบน Taproot Assets

    • การปรับสมดุลอัตโนมัติและการป้องกันความเสี่ยงในตลาดที่ผันผวน

แอปพลิเคชันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันหลากหลายเมื่อนำเทคโนโลยี VAULT และ Taproot Assets มาผสมผสานกัน การเน้นความปลอดภัยของ VAULT ร่วมกับความหลากหลายของสินทรัพย์จาก Taproot Assets จะเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการใช้งาน Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในอนาคต​​​​​​​​​​​​​​​​

สารตั้งต้น :

จดหมายข่าว Bitcoin Optech ฉบับที่ 354

16 พฤษภาคม 2025

จดหมายข่าวฉบับนี้อธิบายช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไขแล้วซึ่งส่งผลกระทบต่อ Bitcoin Core รุ่นเก่า นอกจากนี้ยังมีหัวข้อประจำของเราที่สรุปการสนทนาล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎฉันทามติของ Bitcoin การประกาศรุ่นใหม่และรุ่นทดสอบ และการอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐาน Bitcoin ยอดนิยม

ข่าวสาร

การเปิดเผยช่องโหว่ที่ส่งผลกระทบต่อ Bitcoin Core รุ่นเก่า: Antoine Poinsot ได้โพสต์ในเมลลิ่งลิสต์ Bitcoin-Dev เพื่อประกาศช่องโหว่ที่ส่งผลกระทบต่อ Bitcoin Core รุ่นก่อน 29.0 ช่องโหว่นี้ได้รับการเปิดเผยอย่างรับผิดชอบโดย Eugene Siegel พร้อมกับช่องโหว่อื่นที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดซึ่งได้อธิบายไว้ในจดหมายข่าวฉบับที่ 314 ผู้โจมตีสามารถส่งการโฆษณาที่อยู่โหนดจำนวนมากเกินไปเพื่อบังคับให้ตัวระบุ 32 บิตล้น ส่งผลให้โหนดล่ม ปัญหานี้ได้รับการบรรเทาบางส่วนโดยการจำกัดจำนวนการอัปเดตให้เป็นหนึ่งครั้งต่อเพียร์ทุก ๆ สิบวินาที ซึ่งสำหรับการจำกัดเริ่มต้นประมาณ 125 เพียร์จะป้องกันการล้นเว้นแต่โหนดจะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์โดยการใช้ตัวระบุ 64 บิต เริ่มตั้งแต่การเปิดตัว Bitcoin Core 29.0 เมื่อเดือนที่แล้ว

การเปลี่ยนแปลงฉันทามติ

หัวข้อรายเดือนที่สรุปข้อเสนอและการสนทนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎฉันทามติของ Bitcoin

BIP ที่เสนอสำหรับการคำนวณแบบ 64 บิตใน Script: Chris Stewart ได้โพสต์ร่าง BIP ไปยังเมลลิ่งลิสต์ Bitcoin-Dev ซึ่งเสนอการอัปเกรด opcodes ที่มีอยู่ของ Bitcoin ให้ทำงานกับค่าตัวเลข 64 บิต สิ่งนี้ต่อเนื่องจากงานวิจัยก่อนหน้าของเขา (ดูจดหมายข่าวฉบับที่ 285, 290 และ 306) ในการเปลี่ยนแปลงจากการสนทนาก่อนหน้านี้ ข้อเสนอใหม่ใช้ตัวเลขในรูปแบบข้อมูล compactSize เดียวกับที่ใช้ใน Bitcoin ในปัจจุบัน การสนทนาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเกิดขึ้นในสองกระทู้บน Delving Bitcoin

Opcodes ที่เสนอสำหรับการเปิดใช้งาน recursive covenants ผ่าน quines: Bram Cohen ได้โพสต์ไปยัง Delving Bitcoin เพื่อเสนอชุดของ opcodes อย่างง่ายที่จะเปิดใช้งานการสร้าง recursive covenants ผ่านสคริปต์ที่สร้างตัวเองซ้ำ (quines) Cohen อธิบายว่า opcodes สามารถใช้สร้างตู้นิรภัยอย่างง่ายได้อย่างไร และกล่าวถึงระบบขั้นสูงกว่าที่เขากำลังทำงานอยู่

คำอธิบายประโยชน์ของ BitVM จาก OP_CTV และ OP_CSFS: Robin Linus ได้โพสต์ไปยัง Delving Bitcoin เกี่ยวกับการปรับปรุงหลายอย่างของ BitVM ที่จะเป็นไปได้หาก opcodes ที่เสนอ OP_CTV และ OP_CSFS ถูกเพิ่มเข้าไปใน Bitcoin ในซอฟต์ฟอร์ก ประโยชน์ที่เขาอธิบายรวมถึงการเพิ่มจำนวนตัวดำเนินการโดยไม่มีข้อเสีย "การลดขนาดธุรกรรมลงประมาณ 10 เท่า" (ซึ่งลดต้นทุนในกรณีที่แย่ที่สุด) และการอนุญาต non-interactive peg-ins สำหรับสัญญาบางประเภท

รุ่นใหม่และรุ่นทดสอบ

รุ่นใหม่และรุ่นทดสอบสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน Bitcoin ยอดนิยม โปรดพิจารณาอัปเกรดเป็นรุ่นใหม่หรือช่วยทดสอบรุ่นทดสอบ

LND 0.19.0-beta.rc4 เป็นรุ่นทดสอบสำหรับโหนด LN ยอดนิยมนี้ หนึ่งในการปรับปรุงหลักที่น่าจะต้องการการทดสอบคือการปรับค่าธรรมเนียมแบบใหม่ที่ใช้ RBF สำหรับการปิดแบบร่วมมือ

การเปลี่ยนแปลงโค้ดและเอกสารที่สำคัญ

การเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่สำคัญใน Bitcoin Core, Core Lightning, Eclair, LDK, LND, libsecp256k1, Hardware Wallet Interface (HWI), Rust Bitcoin, BTCPay Server, BDK, Bitcoin Improvement Proposals (BIPs), Lightning BOLTs, Lightning BLIPs, Bitcoin Inquisition และ BINANAs

Bitcoin Core #32155 อัปเดตไมเนอร์ภายในเพื่อล็อกเวลาธุรกรรม coinbase โดยการตั้งค่าฟิลด์ nLockTime เป็นความสูงของบล็อกปัจจุบันลบหนึ่งและกำหนดให้ฟิลด์ nSequence ไม่เป็นไฟนอล (เพื่อบังคับใช้การล็อกเวลา) แม้ว่าไมเนอร์ในตัวจะไม่ได้ใช้บนเมนเน็ตโดยทั่วไป การอัปเดตนี้จะส่งเสริมให้พูลขุดเหมืองนำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาใช้ล่วงหน้าในซอฟต์แวร์ของตนเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับซอฟต์ฟอร์กการทำความสะอาดฉันทามติที่เสนอใน BIP54 การล็อกเวลาธุรกรรม coinbase แก้ไขช่องโหว่ธุรกรรมซ้ำซ้อน และจะช่วยให้สามารถยกเลิกการตรวจสอบ BIP30 ที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้

Bitcoin Core #28710 ลบโค้ดกระเป๋าเงินแบบเก่าที่เหลืออยู่ เอกสาร และการทดสอบที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้รวมถึง RPC เฉพาะแบบเก่า เช่น importmulti, sethdseed, addmultisigaddress, importaddress, importpubkey, dumpwallet, importwallet และ newkeypool ในขั้นตอนสุดท้ายสำหรับการลบกระเป๋าเงินแบบเก่า การพึ่งพา BerkeleyDB และฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องก็ถูกลบด้วย อย่างไรก็ตาม โค้ดแบบเก่าขั้นต่ำและตัวแยกวิเคราะห์ BDB อิสระ (ดูจดหมายข่าวฉบับที่ 305) ยังคงถูกเก็บไว้เพื่อทำการย้ายกระเป๋าเงินไปยังกระเป๋าเงินแบบตัวอธิบาย

Core Lightning #8272 ปิดการใช้งานการค้นพบเพียร์ด้วยการค้นหา DNS seed แบบสำรองจากดีมอนการเชื่อมต่อ connectd เพื่อแก้ไขปัญหาการบล็อกการเรียกที่เกิดจาก DNS seeds ที่ออฟไลน์

LND #8330 เพิ่มค่าคงที่เล็กน้อย (1/c) ลงในโมเดลความน่าจะเป็นแบบสองโหมดของการหาเส้นทางเพื่อแก้ไขความไม่เสถียรเชิงตัวเลข ในกรณีขอบเขตที่การคำนวณอาจล้มเหลวเนื่องจากข้อผิดพลาดในการปัดเศษและให้ความน่าจะเป็นเป็นศูนย์ การปรับปรุงนี้จะให้ทางเลือกสำรองโดยทำให้โมเดลกลับไปใช้การกระจายแบบสม่ำเสมอ สิ่งนี้แก้ไขข้อบกพร่องในการปรับขนาดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับช่องทางขนาดใหญ่มากหรือช่องทางที่ไม่เหมาะกับการกระจายแบบสองโหมด นอกจากนี้ โมเดลนี้ยังข้ามการคำนวณความน่าจะเป็นที่ไม่จำเป็นและแก้ไขการสังเกตสภาพคล่องของช่องทางที่ล้าสมัยและข้อมูลประวัติที่ขัดแย้งกันโดยอัตโนมัติ

Rust Bitcoin #4458 แทนที่โครงสร้าง MtpAndHeight ด้วยคู่ที่ชัดเจนของ BlockMtp ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาและ BlockHeight ที่มีอยู่แล้ว ช่วยให้สามารถสร้างแบบจำลองทั้งความสูงของบล็อกและค่า Median Time Past (MTP) ในการล็อกเวลาแบบสัมพัทธ์ได้ดีขึ้น ต่างจาก locktime::absolute::MedianTimePast ซึ่งถูกจำกัดให้มีค่าสูงกว่า 500 ล้าน (ประมาณหลังปี 1985) BlockMtp สามารถแสดงเวลา 32 บิตใด ๆ ได้ สิ่งนี้ทำให้เหมาะสมกับกรณีขอบเขตทางทฤษฎี เช่น เชนที่มีเวลาที่ไม่ปกติ การอัปเดตนี้ยังแนะนำ BlockMtpInterval และเปลี่ยนชื่อ BlockInterval เป็น BlockHeightInterval

BIPs #1848 อัปเดตสถานะของ BIP345 เป็น Withdrawn เนื่องจากผู้เขียนเชื่อว่า opcode OP_VAULT ที่เสนอได้ถูกแทนที่ด้วย OP_CHECKCONTRACTVERIFY (OP_CCV) การออกแบบตู้นิรภัยที่ทั่วไปมากขึ้นและพันธสัญญาประเภทใหม่

BIPs #1841 รวม BIP172 ซึ่งเสนอการกำหนดหน่วยพื้นฐานที่แบ่งแยกไม่ได้ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการว่าเป็น "satoshi" สะท้อนการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบันและช่วยให้การกำหนดมาตรฐานคำศัพท์ในแอปพลิเคชันและเอกสารต่าง ๆ

BIPs #1821 รวม BIP177 ซึ่งเสนอการกำหนด "bitcoin" ใหม่ให้หมายถึงหน่วยที่เล็กที่สุดที่แบ่งแยกไม่ได้ (ที่เรียกกันทั่วไปว่า 1 satoshi) แทนที่จะเป็น 100,000,000 หน่วย ข้อเสนอนี้โต้แย้งว่าการจัดคำศัพท์ให้สอดคล้องกับหน่วยพื้นฐานจริงจะช่วยลดความสับสนที่เกิดจากข้อกำหนดทศนิยมที่กำหนดขึ้นเอง

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม?

สำหรับการสนทนาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อที่กล่าวถึงในจดหมายข่าวฉบับนี้ เข้าร่วมกับเราในรายการ Bitcoin Optech Recap รายสัปดาห์บน Riverside.fm เวลา 16:30 UTC วันที่ 20 พฤษภาคม การสนทนาจะถูกบันทึกและจะมีให้บริการจากหน้าพอดคาสต์ของเรา

bonus :

ประวัติความเป็นมาของ OP_VAULT

OP_VAULT เป็นหนึ่งในข้อเสนอการอัปเกรด Bitcoin (Bitcoin Improvement Proposal หรือ BIP) ที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเก็บรักษา Bitcoin โดยเฉพาะสำหรับการเก็บเงินจำนวนมากในระยะยาว

ที่มาและการพัฒนา

  1. แนวคิดเริ่มต้น: OP_VAULT ถูกนำเสนอครั้งแรกโดย James O'Beirne ในช่วงปี 2022-2023 เพื่อแก้ปัญหาความเสี่ยงในการเก็บรักษา Bitcoin จำนวนมาก

  2. หลักการพื้นฐาน: แนวคิดนี้สร้างขึ้นจากความต้องการให้มีกลไกความปลอดภัยเพิ่มเติมสำหรับ cold storage โดยเพิ่ม "ระยะเวลารอ" (time delay) ก่อนที่เงินจะถูกถอนออกจาก vault ทำให้เจ้าของมีเวลาในการตรวจจับและยกเลิกธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

  3. การพัฒนาทางเทคนิค: OP_VAULT เป็นการเพิ่ม opcode ใหม่ในภาษา Script ของ Bitcoin เพื่อให้สามารถสร้างโครงสร้างการเก็บรักษาเงินแบบใหม่ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น

  4. สถานะปัจจุบัน: OP_VAULT อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและทดสอบจากชุมชน Bitcoin โดยปัจจุบันยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Bitcoin Core แต่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้พัฒนาและนักลงทุนที่ต้องการระบบเก็บรักษา Bitcoin ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

กลไกการทำงานของ OP_VAULT

  • OP_VAULT สร้างกระบวนการถอนเงินแบบสองขั้นตอน:

    1. ขั้นแรกคือการ "เตรียมถอน" (stage withdrawal) ซึ่งจะเริ่มระยะเวลารอคอย

    2. หลังจากระยะเวลารอผ่านไป จึงสามารถดำเนินการถอนได้จริง

  • ระหว่างช่วงเวลารอ เจ้าของสามารถยกเลิกการถอนได้หากพบว่าเป็นธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

  • กลไกนี้เพิ่มความปลอดภัยอย่างมากในกรณีที่กุญแจส่วนตัว (private keys) ถูกขโมยหรือเสี่ยงต่อการถูกบุกรุก

OP_VAULT เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุง Bitcoin อย่างระมัดระวังเพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้งานโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบโดยรวม​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​

PreviousOP_ ต่างๆ / Bitcoin Script / Hash Preimage / BOLT / Taproot / Eltoo / STARK / ZKP 📜⚡️🐺🌳Nextการแก้แค้นของ Junior Developer❤️‍🔥🐦‍⬛💻

Last updated 7 days ago